World Grown Wz Love & Spirite

My Life Fill Full Wz Pure Energy ^^
Everyday MiRaCle

Accompany wz the true companions,
Manage a certain distance wz the insincere friends,

And Avoid the enemies.



What R U Looking For ^^ !!


8.5.51

พลังแห่งลางสังหรณ์ พลังแห่งภูมิปัญญา The High Priestess

ความหมายโดยรวมของไพ่ใบนี้หมายถึง บุคคลที่มีจิตใจและความคิดซับซ้อน มีลักษณะเก็บงำความรู้สึก ลับลมคมใน ซ่อนเงื่อนปมบางอย่าง เพราะโดยรูปของไพ่บ่งบอกถึงหัวใจสำคัญของความลึกลับ เป็นตัวแทนของการปิดบัง บุคลิกภายนอกแสดงถึงความสดใส อำนาจ และการสนุกสนานรื่นรมย์ แต่ภายในอาจซึมเซา เศร้าหมอง ช่างคิด มีอารมณ์ไม่มั่นคง ประเภทเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ** สิ่งที่เป็นพรติดตัวมาคือความฉลาด ทันคน ที่เป็นประตูเปิดไปสู่การรับรู้ ทั้งนี้เป็นเพราะอิทธิพลของดวงจันทร์นั่นเอง ** ความหมายของไพ่คือ ความลับที่ปิดบังซ่อนเร้น จิตใตที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในเวลาค่ำคืน และความรักที่ยังไม่เป็นที่ยอมรับของบุคคลอื่น ๆ **
ความหมายของผู้ที่หยิบได้ไพ่ใบนี้ในตำแหน่งเจ้าชะตา
หากท่านเป็นผู้หญิงและเปิดได้ไพ่ใบนี้ในตำแหน่งเจ้าชะตา ^^ ทำนายได้เลยว่ารูปร่างจะอ้อนแอ้นอรชร ใบหน้ามีดูมีเสน่ห์ อย่างล้ำลึก
หากท่านเป็นผู้ชายแล้วหยิบได้ไพ่ใบนี้ ท่านจะเป็นคนที่มีนิสัยร่าเริง สนุกสนาน แต่ขี้เหงา รูปร่างผอมสูง ชอบทำตัววุ่นวาย เจ้าเล่ห์แบบแยบคายซ่อนเร้น
ไพ่ราชินีพระจันทร์คือไพ่ที่มีความหมายแฝงเร้นเหมือนกับว่าเมื่อหน้าไพ่ใบนี้เปิดขึ้น ท่านจะได้รับพรสวรรค์ที่มีค่ายิ่งมาให้ แต่มันอาจจะลึกซึ้งจนทันไม่รู้สึกถึงสิ่งที่ราชินีพระจันทร์ให้มา เมื่อไพ่ใบนี้ปรากฏขึ้น ขณะนี้คุณเต็มไปด้วยพลังแห่งลางสังหรณ์ คุณอาจมีประสบการณ์เกี่ยวกับความฝันที่แอบซ่อนอยู่ในด้านหนึ่งของจิตใต้สำนึก ซึ่งเริ่มเปิดเผยมันออกมาต่อหน้าคุณ คุรอาจไม่สนใจและไม่เข้าใจ แต่ไพ่ใบนี้บอกให้คุณสนใจกับสิ่งเหล่านี้ให้มาก แม้ว่าแรกทีเดียวมันดูเหมือนไร้สาระไม่น่าเชื่อถือ แต่ก็เป็นสาระสำหรับคุณคนเดียว ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองได้ดีขึ้น เหมือนมีทัศนะคติใหม่ ๆ ในการมองทะลุถึงธรรมชาติของความรัก และคนรอบข้าง คุณสามารถคาดเดาเรื่องต่าง ๆ ได้ถูกต้องแม่นยำ เรื่องราวต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องไปเสาะแสวงหาให้ใครเป็นผู้ตอบ ณ. วันนี้คำตอบก็คือคุณสามารถรับรู้ได้ด้วยลางสังหรณืของคุณเอง
หากจะให้ตอบในเรื่องการเงิน คุณจะได้รับเงินจากเพศตรงข้ามอย่างลับ ๆ แอบช่วยเหลือคุณอยู่อย่างลับ ๆ หรือแม้กระทั่งช่วยเหลือโดยทางอ้อม .. หากถามเรื่องกิจการงานที่ทำอยู่ก็หมายถึงว่าคุณจะได้รับความช่วยเหลืออุปถัมภ์จากเพศตรงข้ามแต่ลักษณะที่เข้ามาคือ เน้นในเรื่องชู้สาวเพราะคุณเป็นคนมีเสน่ห์มากมายมหาศาลนี้เอง .. แต่หากว่าคุณละเลือกลงมือทำงานชนิดใดประเภทไหนดี ตอบได้เลยว่าควรทำงานที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ งานศิลป์ที่มีตำนาน งานที่ชวนค้นหาและลึกลับ ซับซ้อน หรืออาจเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอักษณศาสตร์ นักเขียนที่สร้างสรรค์ผลงานจากจิตนาการของตนเอง .. งานกิจการที่ทำตอนค่ำคืน เสียงเพลง .. แต่อะไรก็ตามที่ถามอยู่ ณ.ปัจจุบันนี้ มันถึงช่วงเวลาที่คุณควรเปิดเผยและทำความเข้าใจตัวเอง หรือคิดใคร่ครวญอย่างมีสมาธิ อย่างมีแนวทาง จะจุดประกายความคิดในเรื่องต่าง ๆ และจะสามารถทำให้ท่านรู้แจ้ง เพราะฉะนั้นต้องอดทนเปิดใจให้กว้าง แล้วท่านจะพบหนทางและคำตอบมากมาย ก่อนที่จะพบสิ่งต่าง ๆ ที่แท้จริง ไม่ว่าเรื่องงาน เรื่องความรัก ......
ในลักษณะความหมายของเทพ คือ พระแม่สุรัสวตี ท่านจะให้พรในเรื่องอักษรศาสตร์ ศิลปและเสียงเพลงหากท่านทำงานในด้านเหล่านี้ แต่ความสำเร็จจากพรที่ขอก็ย่อมเกิดจากความพยายามของผู้ขอด้วยเช่นกัน
^^ในลักษณะของไพ่เสี่ยงทาย 1 ใบสำหรับคำตอบในเรื่องที่ถามคือ 50/ 50 ได้เสียเท่ากัน^^
**คาถาบูชาพระแม่สุรัสวตี : โอมชยะศรีสุรัสวตีมา (๓ จบ) ท่านชอบสีขาว **
___ เสน่ห์ของความลึกลับ ปิดบัง หลบซ่อน รอการค้นพบ ความไม่เข้าใจตัวเองและปิดกั้น พลังแห่งลางสังหรณ์ และพิธีกรรม อาถรรพ์ และพลังแห่งภูมิปัญญา ___

วิธีสร้างบุญบารมี ตอนที่สี่

องค์ประกอบข้อ ๓. เนื้อนาบุญต้องบริสุทธิ์ คำว่า “เนื้อนาบุญ” ในที่นี้ได้แก่บุคคลผู้รับการทำทาน ของผู้ทำทานนั้นเอง นับว่าเป็นองค์ประกอบข้อที่สำคัญที่สุดแม้ว่าองค์ประกอบในการทำทานข้อที่ ๑ และ ๒ จะงามบริสุทธิ์ครบถ้วนดีแล้ว แต่หากผู้รับทานนั้นไม่เป็นผู้ที่มีเนื้อนาบุญบริสุทธิ์ เป็นเนื้อนาบุญที่เลว ทานที่ได้ไปก็ไม่ผลิตดอกออกผล เหมือนกับการหว่านเมล็ดข้าวเปลือกลงในพื้นนา ๑ กำมือ ข้าวนั้นจะเป็นพันธุ์ที่ดีพร้อมจะงอกงาม ( วัตถุทานที่บริสุทธิ์) และผู้หว่านคือกสิกรก็มีเจตนาจะหว่านเพื่อทำนาให้เกิดผลิดอกออกผลเป็นอาชีพ ( เจตนาบริสุทธิ์ ) แต่หากที่นานั้น เป็นที่ที่ไม่สม่ำเสมอกันเมล็ดข้าวที่หว่านลงไปก็งอกเงยไม่เสมอกัน โดยเมล็ดที่ไปตกในที่ดินดี ปุ๋ยดี มีน้ำอุดมดีก็จะงอกเงยมีผลิตผลที่สมบูรณ์ ส่วนเมล็ดที่ไปตกบนพื้นนาที่แห้งแล้ง มีแต่กรวดกับทรายและขาดน้ำ ก็จะแห้งเหี่ยวหรือเฉาตายไป หรือไม่งอกเงยเสียเลยการทำทานนั้น ผลิตผลที่ผู้ทำทานจะได้รับก็คือ "บุญ" หากผู้ที่รับการให้ทานไม่เป็นเนื้อนาที่ดีสำหรับการทำบุญแล้ว ผลของทานคือบุญก็จะได้เกิดขึ้น แม้จะเกิดก็ไม่สมบูณ์ เพราะแกร็นหรือแห้งเหี่ยวเฉาไปด้วยประการต่าง ๆ ฉะนั้น ในการทำทาน ตัวบุคคลผู้รับของที่เราให้ทานจึงเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่สุด เราผู้ทำทานจะได้บุญมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับคนพวกนี้ คนที่รับการให้ทานนั้นหากเป็นผู้ที่มีศีลธรรมสูง ก็ย่อมเป็นเนื้อนาบุญที่ดี ทานที่เราได้ทำไปแล้วก็เกิดผลบุญมาก หากผู้รับการให้ทานเป็นผู้ที่ไม่มีศีลไม่มีธรรมผลของทานก็ไม่เกิดขึ้นคือได้บุญน้อย .. สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า แม้วัตถุทานจะบริสุทธิ์ดี เจตนาในการทำทานจะบริสุทธิ์ดี จะทำให้ทานนั้นมีผลมากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับเนื้อนาบุญเป็นลำดับต่อไปนี้ คือ ๑. ทำทานแก่สัตว์เดรัจฉาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้งก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่มนุษย์ แม้จะเป็นมนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมเลยก็ตาม ทั้งนี้สัตว์ย่อมมีบุญวาสนาบารมีน้อยกว่มนุษย์ และสัตว์ไม่ใช่เนื้อนาบุญที่ดี ๒. ให้ทานแก่มนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมวินัย แม้จะให้มากถึง ๑๐๐ ครั้งก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล ๕ แม้จะเพียงครั้งเดียวก็ตาม ๓. ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๕ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้งก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล ๘ แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม ๔. ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๘ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานแก่ผู้ที่มีศีล ๑๐ คือสามเณรในพระพุทธศาสนาแม้จะได้ถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม ๕. ถวายทานแก่สามเณรซึ่งมีศีล ๑๐ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้งก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานดังกล่าวแก่พระสมมุติสงฆ์ ซึ่งมีศีลปาฏิโมกข์ สังวร ๒๒๗ ข้อ พระด้วยกันก็มีคุณธรรมแตกต่างกัน จึงเป็นเนื้อนาบุญที่ต่างกัน บุคคลที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนามีศีลปาฏิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสเรียกว่าเป็น "พระ" แต่เป็นเพียงพระสมมติเท่านั้น เรียกว่า "สมมติสงฆ์" พระที่แท้จริงนั้น หมายถึงบุคคลที่บรรลุคุณธรรมตั้งแต่พระโสดาปัตติผลเป็นโสดาบันเป็นต้นไป ไม่ว่าท่านผุ้นั้นจะได้บวชหรือเป็นฆราวาสก็ตาม นับว่าเป็น "พระ" ทั้งสิ้นและพระด้วยกันก็มีคุณธรรมต่างกันหลายระดับชั้น และย่อมเป็นเนื้อนาบุญที่ต่างกัน .. ๖. ถวายทานแก่พระสมมุติสงฆ์ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้งก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานแก่พระโสดาบัน แม้จะได้ถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม (ความจริงยังมีการแยกเป็นพระโสดาบันปัตติมรรคและพระโสดาปัตติผล ฯลฯ เป็นลำดับไปจนถึงพระอรหันต์ผล แต่ในที่นี้จะกล่าวแต่เพียงย่นย่อพอให้ได้ความเท่านั้น ๗. ถวายทานแก่พระโสดาบัน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระสกิทาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม ๘. ถวายทานแก่พระสกิทาคามี แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่า การถวายทานดังกล่าวแก่พระอนาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม ๙. ถวายทานแก่พระอนาคามี แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระอรหันต์ แม้จะถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม ๑๐. ถวายทานแก่พระอรหันต์ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม ๑๑. ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าแม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้งก็ยังได้บุญน้อยกว่าการ ถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้จะถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม ๑๒. ถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายสังฆทานที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประทาน แม้จะได้ถวายสังฆทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม ๑๓. การถวายสังฆทานที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่า การถวาย วิหารทาน แม้จะได้กระทำแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม วิหารทาน ได้แก่ การสร้างหรือร่วมสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ศาลาโรงธรรม ศาลาท่าน้ำ ศาลาที่พักอาศัยคนเดินทาง อันเป็นสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน อนึ่ง การสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์หรือสิ่งที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน แม้จะไม่เกี่ยวเนื่องกับกิจในพระพุทธศาสนา เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน บ่อน้ำ แท็งก์น้ำ ศาลาป้ายรถยนต์โดยสารประจำทาง สุสาน เมรุเผาศพ ก็ได้บุญมากในทำนองเดียวกัน ๑๔. การถวายวิหารทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง (๑๐๐ หลัง)ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ธรรมทาน แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตามการให้ธรรมทาน ก็คือ การเทศน์ การสอนธรรมะแก่ผู้อื่นที่ยังไม่รู้ให้ได้รู้ ที่รู้อยู่แล้วให้รู้ยิ่ง ๆ ขึ้น ให้ได้เข้าใจในมรรค ผล นิพพาน ให้ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฐิได้กลับใจเป้นสัมมาทิฐิ ชักจูงผู้คนให้เข้าปฏิบัติธรรมรวมตลอดถึงการพิมพ์การแจกหนังสือธรรมะ ๑๕. การให้ธรรมทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้งก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ "อภัยทาน" แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตามการให้อภัยทานก็คือการไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร ไม่พยาบาทคิดร้ายผู้อื่นแม้แต่ศัตรู ซึ่งได้บุญกุศลแรงและสูงมากในฝ่ายทาน เพราะเป็นการบำเพ็ญเพียงเพื่อสละ "โทสกิเลส" และเป็นการเจริญ "เมตตาพรหมวิหารธรรม" ซึ่งเมื่อเมตตาพรหมวิหารธรรมได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อใด ก็ย่อมสละเลียได้ซึ่ง "พยาบาท" ผู้นั้นจึงจะสามารถให้อภัยทานได้ การให้อภัยทานจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและยากเย็นจึงจัดเป็นทานที่สูงกว่าการให้ทานทั้งปวง ***^^*** อย่างไรก็ดี การให้อภัยทานแม้จะมากเพียงใด แม้จะชนะการให้ทานอื่นๆทั้งมวล ผลบุญนั้นก็ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า "ฝ่ายศีล"เพราะเป็นการบำเพ็ญบารมีคนละขั้นต่างกัน ***^^*** ๒. การรักษาศีล ศีลมีหลายระดับ คือ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ การรักษาศีลเป็นการเพียรพยายามเพื่อระงับโทษทางกายและวาจา อันเป็นเพียงกิเลสหยาบไม่ให้กำเริบขึ้น และเป็นการบำเพ็ญบุญบารมีที่สูงขึ้นกว่าการให้ทาน ทั้งในการถือศีลด้วยกันเองก็ยังได้บุญมากและน้อยต่างกันไปตามลำดับ ( ขอเพิ่มเติมในเรื่องศีลและภาวนา ฉบับสมบูรณ์ ในศุกร์หน้า 19/05/08 นะคะ )

วิธีสร้างบุญบารมี ตอนที่สาม

องค์ประกอบของการทำทาน 3 ประการ การทำทานได้แก่การสละทรัพย์สิ่งของสมบัติของตนที่มีอยู่ให้แก่ผู้อื่นโดยมุ่งหวังจะจุนเจือให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์และความสุขด้วยความเมตตาจิตของตน ทานที่ได้ทำไปนั้น จะทำให้ผู้ทำทานได้บุญมากหรือน้อยเพียงใด ย่มสุดแล้วแต่องค์ประกอบ 3 ประการ หากถึงพร้อมด้วยองค์ประกอบ 3 ประการต่อไปนี้แล้วทานนั้นย่อมมีผลมาก ได้บุญบารมีมาก กล่าวคือ ๑ ." วัตถุทานต้องบริสุทธิ์ " วัตถุทานที่ให้ได้แก่สิ่งของทรัพย์สมบัติที่ตนได้สละให้เป็นทานนั้นเอง จะต้องเป็นของบริสุทธิ์ ที่จะเป็นของบริสุทธิ์ได้จะต้องเป็นสิ่งของที่ตนแสวงหา ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ในการประกอบอาชีพ ไม่ใช่ของที่ได้มาโดยการเบียดเบียนผู้อื่น เช่น ได้มาโดยสุจริต ลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกง ปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ ฯลฯ ตัวอย่าง ๑. ได้มาโดยการเบียดเบียนชีวิตเลือดเนื้อสัตว์ เช่น ฆ่าสัตว์ต่าง ๆ เป็นต้นว่า ปลา โค กระบือ สุกร โดยประสงค์จะนำเอาเนื้อของเขามาทำอาหารถวายพระเพื่อเอาบุญ ย่อมเป็นการสร้างบาปเอามาทำบุญ วัตถุทานคือเนื้อสัตว์นั้นเป็นของที่ไม่บริสุทธิ์ แม้ทำบุญให้ทานไป ก็ย่อมได้บุญน้อย จนเกือบไม่ได้อะไรเลย ทั้งอาจจะได้บาปเสียอีกหากว่าทำทานด้วยจิตที่เศร้าหมอง แต่การที่ได้เนื้อสัตว์มาโดยการซื้อหาจากผู้อื่นที่ฆ่าสัตว์นั้น โดยที่ตนมิได้มีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจนั้นการฆ่าสัตว์ก็ดี เนื้อสัตว์นั้นตายเองก็ดี เนื้อสัตว์นั้นย่อมเป็นวัตถุทานที่บริสุทธิ์ เมื่อนำมาทำย่อมได้บุญมากหากถึงพร้อมด้วยองค์องค์ประกอบข้ออื่นๆ ด้วย ตัวอย่างที่ ๒. ลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกง ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ รวมตลอดถึงการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง อันเป็นการได้ทรัพย์มาในลักษณะไม่ชอบธรรม หรือโดยเจ้าของเดิมไม่เต็มใจให้ ทรัพย์นั้นย่อมเป็นของไม่บริสุทธิ์ เป็นของร้อน แม้จะผลิดอกออกผลมาเพิ่มเติม ดอกผลนั้นก็ย่อมเป็นของไม่บริสุทธิ์ ด้วยนำเอาไปกินไปใช้ย่อมเกิดโทษ เรียกว่า บริโภคโดยความเป็นหนี้ แม้จะนำเอาไปทำบุญ ให้ทาน สร้างโบสถ์วิหารก็ไม่ทำให้ได้บุญแต่อย่างใด ... ** วัตถุทานที่บริสุทธิ์เพราะการแสวงหาได้มาโดยชอบธรรมดังกล่าว ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นของดีหรือเลว ไม่จำกัดว่าเป็นของมากหรือน้อย น้อยค่าหรือมีค่ามาก จะเป็นของดีหรือของเลว ประณีตมากหรือน้อยไม่สำคัญ ความสำคัญอยู่ที่เจตนาการให้ทานนั้นตามกำลังทรัพย์และกำลังศรัทธาที่ตนมีอยู่ ** ๒.เจตนาในการให้ทานต้องบริสุทธิ์ การให้ทานนั้น โดยจุดมุ่งหมายที่แท้จริงก็เพื่อเป็นการขจัดความโลภ ความตระหนี่เหนี่ยวแน่น ความหวงแหน หลงใหลในทรัพย์สมบัติของตน อันเป็นกิเลสหยาบ คือ โลภกิเลส และเพื่อเป็นการสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุข ด้วยเมตตาธรรมของตนเอง อันเป็นบันไดก้าวแรกในการเจริญเมตตาพรหมวิหารธรรมในพรหมวิหาร ๔ ให้เกิดขึ้น ถ้าได้ให้ทานด้วยเจตนาดังกล่าวแล้ว เรียกว่าเจตนาในการทำทานบริสุทธิ์แต่เจตนาที่ว่าบริสุทธิ์นั้น ถ้าจะบริสุทธิ์จริงจะต้องสมบูรณ์พร้อมกัน 3 ระยะคือ .. (๑) ระยะก่อนที่จะให้ทาน ก่อนที่จะให้ทานก็มีจิตโสมนัสร่าเริงเบิกบานยินดีที่จะให้ทาน เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุขเพราะทรัพย์สิ่งของของตน (๒) ระยะที่กำลังลงมือให้ทาน ระยะที่กำลังลงมือทำทานอยู่นั้นเอง ก็ทำด้วยจิตโสมนัสร่าเริงยินดี และเบิกบานในทานที่ตนกำลังให้ผู้อื่น (๓) ระยะหลังจากที่ได้ให้ทานไปแล้ว ครั้นเมื่อได้ให้ทานไปแล้วเสร็จ หลังจากนั้นก็ดี นามมาก็ดี เมื่อหวนคิดถึงทานที่ตนได้กระทำไปแล้วครั้งใด ก็มีจิตโสมนัสร่าเริงเบิกบาน ยินดีในทานนั้น ๆ เจตนาบริสุทธิ์ในการทำทานนั้น อยู่ที่จิตใจโสมนัสร่าเริงเบิกบานยินดีในทานนั้นเป็นสำคัญ และเนื่องมาจากเมตตาจิตมุ่งสงเคราะห์ผู้อื่นให้พ้นความทุกข์
************************

วิธีสร้างบุญบารมี ตอนที่สอง

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า การทำบุญมี 3 วิธี คือ (1) การให้ทาน (ให้บุญน้อยที่สุด ) (2) การถือศีล (ให้ผลบุญมากกว่าทาน) (3) การเจริญภาวนาหรือการนั่งสมาธิ (ให้ผลบุญมากกว่าศีล) (ย่อ ๆ คือ ทาน ศีล ภาวนา) 1.การให้ทานเป็นข้าวของเล็ก ๆ น้อย ๆ 100 ครั้ง บุญยังน้อยกว่า การสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลา ประโยชน์แก่คนจำนวนมาก เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล เพียง 1 ครั้ง 2.การให้ทานเป็นโบสถ์ วิหาร ศาลา โรงเรียน โรงพยาบาล 100 ครั้ง บุญยังน้อยกว่า การให้ การสอนธรรมะเป็นทาน การแจกหนังสือธรรมะ (หรือเรียกว่า "ธรรมทาน")เพียง 1 ครั้ง 3.การให้ธรรมทาน 100 ครั้ง บุญยังน้อยกว่า "การให้อภัยทาน" เพียง 1 ครั้ง ** การให้อภัยทานเป็นบุญสูงสุดเหนือการให้ทานทั้งปวง แต่ก็ยัง ส่งผลบุญน้อยกว่าการถือศีล** 4.การให้อภัยทาน 100 ครั้ง บุญยังน้อยกว่า การถือศีล 5 เพียง 1 ครั้ง (ศีล 5 = ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดปด ไม่ดื่มเหล้า ) 5.การถือศีล 5 = 100 ครั้ง บุญยังน้อยกว่า การนั่งสมาธิภาวนา แม้เพียงไก่กระพือปีก 1 ครั้ง หรือช้างกระดิกหู 1 ครั้ง (บางคนทั้งชีวิต ไม่เคยมีโอกาสได้นั่งสมาธิเลย) ** แต่เกิดมาในชีวิตต้องทำให้ครบทั้ง 3 อย่าง คือ ทาน - ศีล - ภาวนา **
  • เพราะถ้าเราได้แต่นั่งภาวนา เพื่อให้ได้บุญสูงสุด แต่ไม่ยอมทำทาน เกิดไปชาติหน้า เราจะเกิดเป็นคนมีปัญญา แต่ยากจนเพราะไม่เคยให้ทาน
  • ถ้าเราได้แต่ให้ทาน แต่ไม่ถือศีลและไม่เจริญสมาธิภาวนา เกิดไปชาติหน้า เราจะเป็นคนรวยที่ไร้ปัญญา ในไม่ช้าทรัพย์สินก็หมดไป

** การทำบุญกับผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ เช่นพระมหากษัตริย์ พระอรหันต์ บิดา มารดา หรือบุคคลที่มีศีลมากจะให้อานิสงส์มากกว่าการทำบุญกับผู้ที่มีศีลน้อย

**พ่อแม่ เปรียบเสมือนพระอรหันต์ เด็กที่ทำบุญและกตัญญูต่อพ่อแม่ จะตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ คิดเงินก้ไหลนอง คิดทองก็ทองไหลมา

( สรุปย่อมาจากหนังสือของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายกสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน)

4.5.51

วิธีสร้างบุญบารมี

มาเข้าเรื่องของวิธีการทำบุญ สร้างบารมีกันต่อนะคะ ถ้าจะกล่าวในวันนี้ วันเดียวอาจจะยังไม่จบ ยังไงก็ขอให้ติดตามอ่านกัน ว่างตอนไหนก็เปิดเข้ามาอ่านกัน เรื่อยๆนะคะ คำว่า บุญ ความหมายตามพจนานุกรมพุทธศาสน์ของพระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตโต) กล่าวว่า บุญ คือเครื่องชำระสันดาน ความดี กุศล ความสุข ความประพฤติชอบทางการ วาจา และใจ กุศลธรรม บารมี คือคุณงามความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงยิ่ง วิธีการสร้างบุญบารมีในพระพุทธศาสนามี อยู่ 3 ขั้นตอน คือ การให้ทาน การถือศีลและการเจริญภาวนา ที่นิยมเรียกกันว่า ทาน ศีล ภาวนา ซึ่งการให้ทานหรือการทำทานนั้นเป็นการสร้างบุญที่ต่ำที่สุด ได้บุญน้อยที่สุด ไม่ว่าจะทำมากอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะได้บุญมากไปกว่าการถือศีลไปได้ การถือศีลนั้นแม้จะมากอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะได้บุญมากเกินไปกว่าการเจริญภาวนาไปได้ ฉะนั้น การเจริญภาวนานั้น จึงเป็นการสร้างบุญบารมีที่สูงที่สุด ได้มากที่สุด ในทุกวันนี้เรารู้จักกันแต่การให้ทานเพียงอย่างเดียว เช่นการทำบุญตักบาตร ทอดกฐิน ผ้าป่าสละทรัพย์สร้างโบสถ์ วิหารศาลาการเปรียญ ส่วนการถือศีล แม้จะได้บุญมากกว่าการทำทานก็ยังมีการทำกันเป็นส่วนน้อยเพื่อความเข้าใจอันดีจึงขอชี้แจงการสร้างบุญบารมีอย่างไรจึงจะเป็นการลงทุนน้อยที่สุดแต่ได้บุญบารมีมากที่สุด

SixSense By U

อย่าแปลกใจนะคะที่ชื่อของเรื่องราวที่ทำคือ ยิปซีผู้หญิงผิวเข้ม อิอิ แต่เรื่องราวของบลอคนี้มีเรื่องราวของพุทธศาสนาและเรื่องอื่น ๆ ฯลฯ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะเราศรัทธาและนับถือศาสนาพุทธก็เลยอยากฝากเรื่องราวดี ๆ เกี่ยวกับพุทธศาสนามาให้อ่านกัน และมีอีกหลายเรื่องราวที่จะนำเสนอสลับกันไป..หลายๆ ครั้งก็เป็นนักผจญภัย และนักเดินทางสะพายเป้...
เช้านี้เป็นเช้าที่ลูกค้าโทรมาปลุก..ในเวลาที่กำลังงัวเงีย เหมือนจะตื่นแต่ไม่อยากลุก แต่พอสิ้นสุดเสียงคุย โทรศัพท์ฉันก็ตื่นทันทีเพื่ออาบน้ำ ชำระล้างกาย แต่งตัวเสร็จพอดีลูกค้าก็ตะโกนเรียกหน้าบ้าน ..
เรียกว่าวันนี้เป็นเช้าที่โชคดี แต่ที่ตื่นสายก็เพราะว่า เหตุเกิดจากเมื่อวาน...ปกติเช้าขึ้นมาดื่มกาแฟด้วยรสชาติที่เข้มข้นแก้วเดียว ก็อยู่ได้ทั้งวัน แต่เมื่อวานช่วงบ่ายดันดื่มกาแฟแก้วที่ 2 ไปทำให้นอนหลับในเวลาปกติไม่ได้ แม้กลางคืนจะอ่านหนังสือ ถึงตี 1 ก็ยังไม่อยากนอน อ่านจนตีสองถึงได้หลับ หนังสือที่อ่านเมื่อคืนเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาสนา แม้จะทำให้ตื่นสายแต่ก็นับว่าโชคดีเพราะได้เรื่องดีๆ ที่จะมาแบ่งปันสำหรับเช้าวันนี้ ...... หนังสือดีๆเล่มนั้นชื่อ " หนังสือเรื่องวิธีการสร้างบุญบารมี " ซึ่งผู้ศรัทธาในพุทธศาสนา นำมาแจกก็ทำให้เข้าใจเรื่องราว ของการทำบุญ ทำทานได้มากขึ้น ก็เลยอยากจะร่วมเผยแพร่ให้กับผู้ที่อาจจะอยากรู้ หรือไม่อยากรู้ แต่เมื่อรู้แล้วเกิดประโยชน์ ก็อยากแบ่งปัน จะได้บุญกันทั่วหน้า .. แต่ก่อนจะเล่าเรื่องหนังสือ ......
หัวข้อวันนี้เกี่ยวกับสัมผัสที่หก งั้นจะขอพูดเรื่องนี้ก่อนเลยนะคะ ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจว่าจะลงเรื่องการสร้างบุญบารมี แต่เป็นสัมผัสที่หกของลูกค้า แล้วเกี่ยวข้องกับสัมผัสที่หกได้อย่างไร ....
เป็นวันที่โชคดีเพราะลูกค้าเก่าพาลูกค้าใหม่มา 2 คน คุณเนตรเป็นลูกค้าที่รู้จักคุ้นเคยพอดูจบเรียบร้อยเสียงตอบรับก็ดี เพราะทักเหตุการณ์รอบ ๆ ตัว สิ่งแวดล้อมได้ชัดเจนเป็นการช่วยตัดสินใจได้อย่างดี แต่ความแม่นยำคงต้องรอให้ลูกค้า มาบอกเองในโอกาสต่อไปเพราะไพ่ ณ.วันนี้ดูได้ 3 เดือน แต่สิ่งที่ทำให้ขนหัวลุกบ้างจากคุณเนตร เพราะดูเป็นคนสุดท้าย พี่เนตรเล่าเรื่องเป็นการยืนยันจากสิ่งที่เราทัก แม้จะเป็นเรื่องสั้น ๆ แต่ก็ทำให้ขนลุกไปตามๆกัน ฉันทักพี่เนตรไปว่า ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไหว้เจ้าที่หรือเปล่าค่ะ พี่เนตรบอกว่าไม่ค่อยได้ทำบุญให้ ฉันเลยบอกไปว่า สวดมนต์ภาวนาและแผ่เมตตาหรือตั้งของบูชาทุกวันพระก็ได้ พี่เนตรบอกว่าแต่เขาแรงมากเลยนะ และพี่เนตรก็เป็นคนที่มีสัมผัสที่หกแรงเช่นกัน พี่เนตรเล่าว่า เมื่อสองวันก่อน พี่เนตรนั่งสวดมนต์ในห้องพระ แล้วรู้สึกว่ามีคนมานั่งอยู่ด้านหลังทางด้านขวามือ พี่เนตรสวดไปเรื่อย ๆ ก็รู้สึกว่าขนลุกและเหมือนคนด้านหลังนั้น ขยับมานั่งด้านข้างติด ๆ เลย คราวนี้เกิดขนลุกทั้งตัว พี่เนตรจึงท่องคาถาหลวงพ่อโต ชินบัญชร และต้องรีบลุกเลิกสวด ... จริง ๆ แล้วสิ่งเร้นลับที่มองไม่เห็นนั้นคงมาร่วมฟังการสวดมนต์ของพี่เนตร ไม่ได้มาทำร้ายอะไร กับมารับส่วนบุญที่พี่เนตรจะแผ่ให้ด้วย แต่เป็นเพราะพี่เนตรสัมผัสได้แรง จึงทำให้เกิดการรับรู้กับสิ่งที่มองไม่เห็น และเมื่อจิตเราไม่นิ่งพอ ก็ทำให้เรากลัว ซึ่งจริง ๆ แล้วสิ่งนั้นไม่ได้มาทำร้ายเราแน่นอน แล้วสิ่งเร้นลับสิ่งนั้นก็มีจิตที่แรง เพราะสามารถส่งจิตและพลังมาทำให้พี่เนตรรับรู้ว่าเขารับรู้แล้วนะ ไม่ว่าจะเป็นผีบ้าน ผีเรือน ผีบรรพบุรุษ .... หากปกติท่านเป็นคนที่สวดมนต์ สิ่งเร้นลับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะมาร่วมฟังการสวดมนต์กับท่านแน่นอน แต่ว่า สัมผัสที่หก ไม่ใช่ที่ทุกคนจะมี หรือมีมากมีน้อยต่างกัน ดังนั้นบางคนอาจจะไม่เคยได้รับรู้เลยก็เป็นได้ แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่ติดตามเราอยู่ เฝ้าคอยให้เราสวดมนต์แผ่เมตตาให้เขามารับรู้ด้วยทุกครั้งนะคะ เรื่องของพี่เนตรยังไม่จบ เพราะเรื่องที่ ทักไปอีกเรื่องคือ พี่เนตรไปที่ไหนก็จะสามารถสัมผัสกับสิ่งเร้นลับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ ที่นั้น ๆ ได้ พี่เนตรบอกว่า เคยไปเที่ยวบ้านเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งเดินผ่านตู้ใบหนึ่งของบ้านหลังนั้นแล้วขนลุก แล้วก็พูดออกมาว่าทำไมเดินทางผ่านตรงนี้แล้วขนลุก พี่เจ้าของบ้านก็ยิ้ม ๆ พอพี่เนตรเดินมานั่งที่โต๊ะรับแขก ก็ยังติดใจ และรู้สึกว่าเหมือนมีใครอยู่แถวๆตู้ใบนั้น เลยถามพี่เจ้าของบ้าน พี่คนนั้นเลยเฉลยว่า ตู้ใบนั้น ตั้งกุมารไว้ ... พี่เนตรเลยรู้ว่าคำถามนั้นคำตอบคืออะไร ... นี่ก็เป็นอีกเรื่องคือว่า ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่ ...